เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว-นิกโก้-คาวากูจิโกะ 5 วัน 4 คืน ชมใบไม้แดง (ตอนที่ 1)
หลายคนถามฮานะว่ามีเวลา 5 วัน 4 คืน เที่ยวอะไรดีในโตเกียว
วันนี้ฮานะเลยขอจัดเป็นทริป 5 วัน 4 คืน เที่ยวญี่ปุ่นไปตามรอยใบไม้แดง
ลองมาดูกันว่าจะมีอะไรให้เที่ยวบ้าง
การเตรียมตัวก่อนไป
1. แลกเงินโดยตอนนี้เรตเงินญี่ปุ่นถูกมากๆ สวรรค์ของนักท่องเที่ยวไทยเลยล่ะ
2. ตรวจสอบสภาพอากาศ ตอนที่ฮานะไปเป็นช่วงเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา อากาศกำลังเย็นสบายอยู่ที่ประมาณ 15 องศา เสื้อผ้าก็ไม่ต้องขนไปเยอะ ขอแค่มีเสื้อคลุมหนาๆ สักตัวก็พอเพราะกลางคืนหนาวเอาเรื่องอยู่
3. อุปกรณ์ในการติดต่อสื่อสาร เพราะเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะฮานะต้องใช้ในการเช็คตารางรถไฟและหาแผนที่การเดินทางทางต่างๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยสะดวกสบายมากๆ ในเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตในญี่ปุ่น ฮานะโชคดีที่มีพี่ๆ ที่ BS-Mobile ให้ยืมเครื่องพ็อคเก็ตไวไฟไปทดสอบสัญญาณที่ญี่ปุ่น งานนี้เลยเล่นเน็ตสนุกเลยค่ะ (อ่านเรื่องราวการใช้อินเตอร์เน็ตในญี่ปุ่นได้ที่นีจ้า>> www.chillpainai.com/scoop/2374)
4. ที่เหลือก็เป็นของใช้ส่วนตัวต่างๆ อ้อ อย่าลืมยานะจ๊ะ เพราะเวลาป่วยอยู่เมืองนอก สื่อสารก็ยาก มันไม่สนุกเลยนะ
เตรียมตัวกันพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย
วันที่ 1
จาก สนามบินนาระตะ เราก็ต้องหาวิธีการเข้าเมืองกันก่อน ซึ่งการเดินทางเข้าเมืองโตเกียวมีหลายวิธีทั้งรถไฟของนาริตะเอ็กซ์เพรส (หรือ N’ex) ลีมูซีนบัส รถไฟของค่ายเคย์เซย์ ค่ายคู่แข่งของ N’ex โดยฮานะเลือกนั่งรถไฟของเคย์เซย์ไลน์ เข้าเมืองค่ะ เหตุผลคือเขามีตั๋วรถไฟเคย์เซย์สกายไลน์เนอร์ ที่วิ่งปรู๊ดเดียวประมาณ 40 นาทีไปลงอูเอโนะ + กับตั๋วรถไฟใต้ดินแบบ 2 วัน ที่นั่งได้กี่เที่ยวก็ได้ไม่จำกัด ในราคา 5,100 เยน หรือประมาณ 1,530 บาท เรียกว่าคุ้มเลยล่ะค่ะ
ส่วน ที่จะต้องไปซื้อเพิ่มคือตั๋วเจอาร์ คันโต แอเรียพาส หรือบัตรเบ่งเล็ก (บัตรเบ่งที่หลายคนรู้จักคือ JR-PASS) ที่เอาไว้นั่งรถไฟเจอาร์ในเขตคันโต แบบ 3 วัน จะนั่งกี่รอบก็ได้ นั่งชินกันเซ็นก็ได้ในราคา 8,300 เยน หรือประมาณ 2,490 บาทเท่านั้น และบัตร Suica ซึ่งเป็น IC Card คล้ายๆ แรบบิทบ้านเราคือสามารถเติมเงินได้ เอาไว้ใช้กับขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟ รถบัส ซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ก็ได้ สะดวกมากๆ
เริ่มออกเดินทางเข้าโตเกียวกันเลย
ปรู๊ ดเดียวรถไฟของเคย์เซย์ก็มาจอดส่งเราที่สถานีอูเอโนะ ซึ่งที่พักที่เราจองเอาไว้อยู่ใกล้กับสถานีอาซากูสะค่ะ จากอูเอโนะสามารถนั่งรถไฟใต้ดินไปสถานีอาซากูสะใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น
ที่พัก ที่เราจองเอาไว้ชื่อ Smile Hotel Asakusa เป็นบิสซินเนสโฮเทล ที่ตั้งอยู่ย่านอาซากูสะ ใช้เวลาเดินทางจากสถานีกาซากูสะประมาณ 10 นาที ตัวที่พักสะอาดดีทีเดียวเลยค่ะ ติดตรงที่เล็กไปหน่อย แต่สิ่งอำนวยความสะดวกก็พร้อมเลยนะคะ ทั้งทีวี ตู้เย็น ไดร์เป่าผม ห้องน้ำในตัว มีลิฟต์ด้วย ห้องที่ฮานะจองมาแบบเซมิดับเบิ้ลเบ้ด ฮานะนอนกับเพื่อน 2 คน ก็ค่อนข้างแคบอยู่เหมือนกัน ใครที่ไม่อยากอึดอัดแนะนำว่าจองแบบทวินเบ้ดเอานะคะ แต่ราคาก็จะแพงขึ้น ฮานะจองที่พักที่นี่ 4 คืน พร้อมกับโปรตั๋วเครื่องบินของแอร์เอเชียในราคา 9000 กว่าบาทเท่านั้น ถือว่าถูกมากกกก เล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ
หลังจากเก็บของเรียบร้อยที่แรกที่เราเดินทางไปคือวัดเซ็นโซจิ ซึ่งตั้งอยู่ย่านอาซากูสะ ใกล้ที่พักของเรามากๆ เดินไปได้เลยล่ะค่ะ
วัด นี้จุดเด่นคือโคมไฟขนาดใหญ่สีแดง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฟท์บังคับสำหรับคนที่เดินทางมาโตเกียวครั้งแรก มาที่นี่จะได้เจอกับคลื่นมหาชนทั้งคนญี่ปุ่นและคณะทัวร์ ทั้งคนไทย คนจีน คนต่างชาติมากมาย
แต่ สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาวัดนี้คือการเดินช้อปและหาของกินอร่อยๆ ที่ถนนนากามิเสะ อารมณ์ก็เหมือนร้านของฝากหน้าวัด ประมาณนั้นเลยล่ะค่ะ แต่ของที่นี่จะมีของกระจุ๊กกระจิ๊กให้เลือกมากมาย และยังมีขนมของฝากอร่อยๆ ให้เลือกซื้อเลือกชิมตลอดทาง
จาก วัดอาซากูสะเราก็เดินทางมาที่ศาลเจ้าเมจิ โดยนั่งรถไฟใต้ดินเมโทรมาลงสถานีเมจิจิงกูมาเอะ โดยตัวสถานีจะอยู่ทางเข้าศาลเจ้าเลยออกมาปุ๊บก็ข้ามสะพานจิงกูบาชิก็จะพบกับ ป่า ที่เรียกว่าป่าเพราะเป็นป่าจริงๆ ค่ะ เดินเข้ามาผ่านเสาโทริไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาชินโตก็จะได้พบ กับความสงบ ความเย็น ความร่มรื่น ต่างจากด้านนอกที่เราเดินเข้ามา
ศาล เจ้าเมจินั้นสร้างขึ้นในปี 1920 เพื่ออุทิศถวายแด่ดวงวิญญาณของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีโชเก็ง ส่วนป่าที่ร่มรื่นนั้นก็เกิดจากความร่วมมือของประชาชนที่ได้บริจาคต้นไม้ กว่า 100,000 ต้น เพื่อสร้างป่าแห่งนี้ขึ้นมา
ฮา นะว่าญี่ปุ่นเขามีความเซน อยู่ในวิถีประจำวันทุกอย่าง ดังเช่นศาลเจ้านี้เช่นกัน แม้ตัวศาลเจ้าจะไม่ได้ใหญ่อะไรมาก (แต่ขนาดป่านั้นใหญ่มากๆ) แต่แสดงถึงความเป็นญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี เดินเข้ามาเราจะรู้สึกถึงความสงบ ภาพของคู่บ่าวสาวที่มาจัดงานแต่งงานแบบญี่ปุ่นที่เรียบง่าย แต่ทำให้เราทึ่งมากๆ ก็ยืนยันถึงความเป็นคนญี่ปุ่นที่มีรากและวัฒนธรรมที่แข็งแรง
จาก ศาลเจ้าเมจิ เราจะขอเปลี่ยนโหมดไปเป็นนักช้อปทันที เพราะแค่เดินออกมาจากศาลเจ้าเมจิก็จะพบกับแหล่งช้อปอย่างฮาราจูกุ ซึ่งคนไทยจะรู้จักดีว่าเป็นย่านวัยรุ่นที่แต่งตัวหลุดโลก ซึ่งถ้าอยากชมฮาราจูกุแบบจี๊ดสุดๆ ให้มาวันอาทิตย์จ้า แต่วันที่เราไปเป็นวันธรรมดา ฮาราจูกุที่เราเห็นก็เป็นฮาราจูกุที่ค่อนข้างเรียบร้อย แต่ก็ยังครึกครื้นด้วยผู้คนที่เข้ามาช้อปกันมากมาย
ถนน ที่ทำให้คนทั่วโลกจดจำฮาราจูกุคือถนนทาเคชิตะ ที่รายล้อมไปด้วยร้านเสื้อผ้าสุดน่ารัก และร้านเครปญี่ปุ่นที่ถือว่าเป็น the must ของที่นี่ ใครอยากมาสัมผัสเคร้ปญี่ปุ่นแท้ๆ ก็ลองมาชิมได้ที่นี่เลยจ้า ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 500 เยน และสำหรับคนไทยที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเดินที่นี่คือร้านไดโสะสาขาฮาราจูกุที่ มีถึง 3 ชั้น เดินช้อปจนเพลินเลยล่ะค่ะ
จาก ทาเคชิตะเราเดินทะลุมายังถนน Cat Street ซึ่งจะเป็นถนนที่สามารถเดินไปยังชิบูย่าได้ ถ้าเปรียบฮาราจูกุเป็นเหมือนเด็กมัธยม Cat Street จะเป็นเหมือนเด็กมหาลัยไปจนถึงวัยทำงานตอนต้นที่มีกำลังซื้อ และมีแนวทางเป็นของตัวเอง ร้านเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายบนถนนเส้นนี้จะ เน้นดีไซน์ และมีทั้งแบรนด์ดังและโลคัลแบรนด์ การเดินที่นี่ขอบอกว่าเพลินมากๆ เพราะสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านน่ารัก ร้านคาเฟ่น่านั่ง และเพลินไปกับการชมดีไซน์ของตัวร้านที่โดดเด่นมากๆ ส่วนชื่อของ Cat Street นั้นก็มาจากแต่ก่อนถนนเส้นนี้ค่อนข้างเงียบก็เลยมีน้องแมวเหมียวมานอนเล่น แต่ตอนนี้น้องเหมียวคงหนีผู้คนไปแล้วล่ะค่ะ เพราะฮานะไม่เห็นเลยสักตัว
จาก Cat Street เราเดินมาถึงย่านชิบูย่า ย่านที่เต็มไปด้วยมวลมหาชนวัยรุ่น แค่การได้เดินบนห้าแยกชิบูย่าก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะเป็น 5 แยกที่น่าทึ่งสุดๆ คนที่มาเดินผ่านแยกนี้ต่อวันมีประมาณแสนคน และจังหวะที่ไฟเขียวปุ๊บ คลื่นมหาชนเคลื่อนตัวไปพร้อมกัน เป็นวินาทีที่หยุดโลกมากๆ แนะนำว่าถ้าใครอยากได้ภาพสวยๆ ให้ขึ้นไปถ่ายบนร้านสตาร์บัคส์ซึ่งอยู่ตรงห้าแยกพอดี แต่ก็ต้องรอต่อแถวเข้าไปนะคะ เพราะคนเยอะมาก ส่วนใครที่ไม่อยากรอ ฝั่งตรงข้ามตรงสถานีชิบูย่าจะมีอาคารที่ให้เราเดินึ้นไปบนชั้น 2 และถ่ายรูปย่านนี้ได้ แต่รูปมันก็จะไม่อลังเท่ากับมุมของสตาร์บัคส์นะคะ ตรงนั้นนี่มุมยอดฮิตเลยล่ะ
การ เดินชิบูย่านอกจากจะมาชมมวลมหาประชาชนแล้ว เรายังมาช้อปและช้อป เพราะย่านนี้มีร้านสำหรับขาช้อปมากมาย ส่วนสาวๆ ฮานะแนะนำตึกชิบูย่า 101 อยู่ตรงห้าแยกเลยล่ะค่ะ มีร้านเสื้อผ้าน่ารักมากๆ และอีกร้านที่ฮานะไม่อยากให้พลาด ร้านขนมที่ชื่อว่า Pablo ร้านชีสเค้กที่อร่อยและฟินสุดๆ
ภาพจาก http://www.pablo3.com
วันที่ 2
เริ่ม ต้นเช้าวันที่ 2 ด้วยการเดินตลาดซึกิจิ ตลาดขายอาหารสด ทั้ง ปลา อาหารทะเล ผัก ผลไม้ เครื่องปรุง เรียกได้ว่าเป็นเหมือนห้องครัวขนาดใหญ่ของโตเกียว และยังมีร้านอาหาร ร้านซูชิชื่อดังที่บางร้านต้องต่อแถวรอหน้าร้านกันเลยทีเดียว
ใครไปโตเกียวตอนนี้ห้ามพลาดไปซึกิจิเด็ดขาดเพราะ ปี 2016 ตลาดแห่งนี้จะปิดตัวลง และไปเปิดใหม่ที่โทโยสุ ซึ่งจะอยู่ใกล้โอไดบะ
เดิน ตลาดจนเพลินก็เริ่มหิวแล้วค่ะ เราเลือกร้านข้าวหน้าปลาดิบ ซึ่งเป็นร้านที่คนไม่เยอะมาก ราคาก็ไม่แพงเท่าไร เราสั่งเมนูแซลม่อนด้ง หรือข้าวหน้าปลาแซลม่อน ที่ฟินสุดเท่าที่เคยกินปลาแซลม่อนมา เพราะเนื้อแซลม่อนสด แทบจะละลายในปาก อร่อยแบบนี้ก็ไม่ลืมถ่ายรูปและส่งภาพไปให้คนที่เมืองไทยด้วยพ็อคเก็ตไวไฟของ BS-mobile
ภาพจาก http://www.japan-guide.com/
นอกจาก นี้ยังมีส่วนประมูลปลาทูน่าที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 120 คนต่อวัน เท่านั้น โดยนักท่องเที่ยวที่จะเข้าชมการประมูลปลาจะต้องไปติดต่อที่ Fish Information Center โดยจะเปิดให้เข้าชมเพียง 2 รอบ รอบละ 60 คน คือตอน ตี 5 และ ตี 5.50 นาที ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ http://www.japan-guide.com/
จาก ซึกิจิเรานั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานีอูเอโนะ แล้วมาเดินเล่นที่ตลาดอาเมะโยโกะ ตลาดแห่งนี้เป็นทั้งตลาดอาหารสด แผล่งรวมร้านอาหารอร่อย ใครที่อยากทานปลาดิบอร่อยๆ ไม่ต้องไปซึกิจิ มาทานที่นี่ก็มีร้านอร่อยเช่นเดียวกัน
นอกจาก นี้ยังมีร้านเสื้อผ้า รองเท้า ร้านขายยาที่ขายเครื่องสำอางให้เดินช้อป แต่อารมณ์ของร้านไม่ได้หรูนะคะ เพราะเป็นร้านภายในตลาดๆ ก็จะออกแนวบ้านๆ หน่อย เหมาะสำหรับคนที่อยากซื้อพวกเครื่องสำอาง ซื้อรองเท้าพวกนิวบาลานซ์ อดิดาส ไนกี้ ก็มีให้เลือกในราคาที่ไม่แพงมาก
จาก ตลาดอาเมะโยโกะ เราเดินทางไปช้อปกันต่อที่ตึกทาเคยะ หรือตึกม่วง อารมณ์เหมือนร้านสหกรณ์บ้านเราแต่ของเขาจะมีหลายตึก หลายสินค้า ทั้ง ของฝาก ขนม เครื่องสำอาง น้ำหอม แว่นตา เสือผ้า เยอะมากๆ ค่ะ และราคาก็ถูกกว่าข้างนอก โดยเฉพาะพวกขนมอย่างคิทแคทชาเขียว หรือพวกเครื่องสำอางและน้ำหอมจะถูกมาก สำหรับสาวๆ ฮานะแนะนำตึก Ladies Building ส่วนใครที่อยากซื้อขนมแนะนำ Main Building และควรให้เวลาช้อปจุดนี้ 2 ชั่วโมง กำลังดีจ้า
แผนที่ตึกม่วงซึ่งสามารถเดินมาจากตลาดอาเมะโยโกะได้
ใคร ที่กลัวว่าช้อปแล้วของจะเยอะจะต้องหอบของไปด้วยไหม ไม่ต้องกังวลจ้า เพราะประเทศญี่ปุ่นเขาคิดเรื่องนี้มาอย่างดี โดยการทำล็อกเกอร์ฝากของอัตโนมัติภายในสถานีรถไฟใต้ดิน เวลาใช้ก็หยอดเงิน ดึงกุญแจ พอเที่ยวเสร็จค่อยย้อนมาไขกุญแจ บางตู้ใช้บัตร Suica ก็ได้ แตะปุ๊บก็จะตัดเงินของเราไป
ภาพจาก http://www.japan-guide.com/
ฝาก ของปุ๊บ คราวนี้ตัวเบาค่ะ พร้อมเที่ยวต่อ โดยที่เที่ยวที่เราจะไปต่อนั้นคือเกาะโอไดบะ ซึ่งเป็นเกาะที่มนุษย์ขึ้น เกิดจาการถมทะเล ทำให้เกิดเมืองใหม่ที่่มีที่เที่ยวมากมาย โดยการเดินทางจะต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีชิมบาชิ จากนั้นจะต้องนั่งรถไฟสายพิเศษที่จะวิ่งในโอไดบะเท่านั้น คือสายยูริกาโมะเมะ หรือรถไฟสายนกนางนวล ที่ความมหัศจรรย์คือรถไฟสายนี้ไม่มีคนขับจ้า ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นรถไฟฟ้าล้อยางที่วิ่งอยู่บนรางรถไฟยกระดับและควบคุมทิศทางโดยกำแพง ด้านข้าง
ภาพจาก http://th.wikipedia.org/wiki
ส่วนสถานีที่เราไปแวะคือสถานี Aomi ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Venus Fort ห้างสุดเก๋ที่ดีไซน์เหมือนเมืองในยุโรป
และไม่ควรพลาดกับการนั่งชมวิวอ่าวโตเกียวจากมุมสูงโดย Ferris Wheel ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ที่มีความสูง 115 เมตร ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ในการชมวิวสวยๆ ของอ่าวโตเกียว ค่าขึ้น 920 เยน
จาก สถานี Aomi เรานั่งรถไฟยูริกาโมเมะมาที่สถานี Daiba เพื่อมาชมฮีโร่ในดวงใจ กับหุ่นยักษ์กันดั้มขนาดเท่าของจริง ที่ Gundam Front Tokyo โชคดีที่เราไปตอนสามทุ่มครึ่งพอดีกับช่วงที่เขามีโชว์กันดั้มเลยล่ะค่ะ งานนี้เลยอิ่มใจไปกับโชว์ที่น่ารักและสนุกมากๆ ไม่บอกดีกว่าว่าเขาโชว์อย่างไร คุณต้องลองไปสัมผัสเอง กันดั้มชมฟรีจ้า แต่ถ้าจะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ด้านในเสียค่าเข้า 1,200 เยน
ปิดท้ายคืนนี้ด้วยวิวสวยๆ กับเทพีเสรีภาพจำลองกับสะพานสายรุ้งที่โอไดบะ เป็นแหน่งจุดชมวิวสุดโรแมนติกที่เหมาะกับการมาชมกับคู่รักมากๆ
รอ ชม ทริป 5 วัน 4 คืน เที่ยวญี่ปุ่นชมไบไม้แดง(ตอนที่ 2) ที่เราจะพาเดินทางออกนอกเมืองไปตามหาภูเขาไฟฟูจิ และสัมผัสความสวยงามของมรดกโลกที่นิกโก้ รอติดตามกันได้เลยจ้า
สนับสนุนพ็อคเก็ตไวไฟโดย BS-Mobile
เรื่องโดย นางสาวฮานะ