บันทึกการเดินทางทริปชิลแพ็คเกอร์อินโตเกียว 5 วัน 4 คืน

 

ผ่านไปแล้วกับทริปญี่ปุ่นที่จัดโดยชิลไปไหน พาสมาชิกทั้ง 11 ชีวิตเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น 

งานนี้ฮานะเลยอาสาขอทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวเก็บตกภาพเหตุการณ์ประทับใจในการเดินทาง

มาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง

karok_eat

เราออกเดินทางกันวันที่ 24 พฤษภาคม เวลาตี 3 โดยนัดกันที่สุวรรณภูมิ

เป็นวันแรกที่สมาชิกทริปทุกท่านได้มาเจอกัน จากคนแปลกหน้าวันนี้เป็นวันแรกที่เราจะต้องเดินทางร่วมกัน

ฮานะสังเกตว่าทุกคนต่างก็ตื่นเต้นและดีใจที่จะได้เดินทางในวันนี้

ตัวฮานะเองที่ไปญี่ปุ่นมาหลายครั้งแล้วก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเลยล่ะค่ะ

 

เราเช็คอิน รับบอร์ดดิ้งพาส ผ่านขั้นตอนทาง ตม.ประเทศไทย เรียบร้อยก็เข้าไปรอกันที่เกท

โดยครั้งนี้เราใช้บริการสายการบินเดลต้าแอร์ไลนส์ เที่ยวบินที่ DL284

ออกจากเมืองไทย 6 โมงเช้า แล้วไปถึงญี่ปุ่นตอน บ่าย 2 โมง

เครื่องบินพาเราบินออกจากประเทศไทย ผ่านเวียดนาม ผ่านใต้หวัน

จอพีทีวีตรงที่นั่งฮานะกำลังแสดงว่าเรากำลังบินผ่านทะเลจีนใต้ เข้าสู่ทะเลของญี่ปุ่น

ประเทศที่เป็นเกาะ ที่ประกอบด้วย 4 เกาะ คือฮกไกโด ฮนชู คิวชูและชิโกกุ

ฮานะว่าญี่ปุ่นนั้นด้วยความที่เป็นเกาะส่วนหนึ่งจึงมีวัฒนธรรมในแบบของตัวเอง

และอีกส่วนก็นำวัฒนธรรมของที่อื่นมาอะแด๊ปให้เป็นแบบญี่ปุ่น

จากประวัติศาสตร์ในอดีตที่ฮานะเคยอ่านมามีบางช่วงที่เขาอินดี้ก็ปิดเกาะไม่ติดต่อกับใคร

แต่หารู้ไหมว่าภายในประเทศเขาเองก็มีการพัฒนาไปเหมือนกัน

มีคนมากมายเคยถามฮานะว่าทำไมไปญี่ปุ่นบ่อยจัง ประเทศนี้มีอะไรดีเหรอ

ฮานะก็จะตอบไปว่า เมืองน่ารัก อากาศดี อาหารอร่อย มีวัฒนธรรมแบบเก่าที่ยังรักษามาถึงวันนี้

และยังสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่ที่มีแต่ญี่ปุ่นเท่านั้นที่ทำได้

แถมคนยังซื่อตรง เป็นระเบียบ ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว

มีเหตุผลอะไรล่ะคะที่ทำให้ฮานะไม่ชอบญี่ปุ่น (แถมผู้ชายยังน่ารักอีกต่างหาก)

เล่าซะยาวมาดูการเดินทางกันต่อ เราถึงญี่ปุ่นประมาณ บ่าย 2 โมง

(เครื่องบินใช้เวลา 6 ชั่วโมง แต่บ้านเขาเร็วกว่าเรา 2 ชั่วโมง)

ผ่าน ตม.อย่างเรียบร้อย ใครว่าว่าตม.ญี่ปุ่นผ่านยากขอเถียงขาดใจ

เพียงแค่คุณอย่าทำอะไรให้เขาสงสัยว่านี่มาเที่ยวหรือมาเป็นโรบินฮู้ด

แค่นี้เขาก็คงไม่อยากคุยกับคุณนานแล้วล่ะค่ะ

จากนาริตะ เรานั่งรถไฟเข้าเมืองมายังสถานีมินามิเซนจู

ภาพวิวสองข้างทางและวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นที่ใช้รถไฟเป็นหลักก็ทำให้เราเพลินไปกับการนั่งมองภาพข้างหน้า

หลายคนบอกว่าบรรยากาศเหมือนหนังสือการ์ตูนที่เคยอ่าน

ภาพบ้านหลังเล็กๆ รถไฟที่วิ่งผ่านท้องทุ่ง แก๊งค์เด็กนักเรียนญี่ปุ่นที่ดูเฮฮากันเมื่ออยู่บนรถไฟ

   

และนี่คือภาพผู้ร่วมชะตากรรม อุ๊ปส์!! gangnamผู้ร่วมเดินทางชิลทริปในครั้งนี้

จากสถานีรถไฟเราเดินมายังที่พักที่ Palace Japan ซึ่งเป็นที่พักที่เราใช้พักตลอดทริปนี้

อากาศในปลายเดือนพฤษภาคมนั้นกำลังดี ไม่หนาวและร้อนจนเกินไป

ที่พักของเรายังใกล้กับ Tokyo Sky Tree 

ทำให้สามารถมองเห็นโตเกียวสกายทรีสัญลักษณ์แห่งใหม่ของกรุงโตเกียวได้จากที่พักของเราเลยล่ะค่ะ

ประมาณ 5 นาทีเราก็เดินมาถึง  Palace Japan Hotel

 

ที่พักที่เราเลือกพักแห่งนี้น่าพักมากๆ ค่ะ เป็นโฮสเทลเปิดใหม่ที่ใช้ห้องน้ำรวม

แต่ห้องน้ำนั้นสะอาดและไฮเทคมากเพราะเขาใช้ระบบอัตโนมัติทุกอย่างเลยค่ะ

แค่เดินเข้าไปก็จะมีระบบเซ็นเซอร์ทำให้ไฟเปิดเองอัตโนมัติ

ถ้าไม่มีใครอยู่ไฟก็จะปิดเอง หรือถ้ายืนแปรงฟันอยู่นิ่งๆ ไฟก็จะดับเอง

ทำให้ระหว่างที่เราแปรงฟันก็จะต้องเต้นไปด้วย

กลายเป็นเรื่องเล่าขบขันในทริปนั้น

 

อีกสิ่งหนึ่งที่ฮานะชอบคือฝักบัวอาบน้ำของเขา

ก็จะเป็นระบบที่จะต้องใช้มือควบคุมเพราะถ้าปล่อยมือน้ำมันก็จะหยุด

หลายคนอาจจะคิดว่าไม่สะดวกแต่ฮานะว่าช่วยให้ประหยัดน้ำได้ดีมาก ใช้เท่าที่จำเป็น

บางคนระหว่างอาบน้ำก็ชินกับการเปิดน้ำไปด้วยจนเคยตัว

ยังไม่หมดเท่านี้ชักโครกของเขาก็ยังเป็นระบบอัตโนมัติเป็ดประตูไปปุ๊บฝาชักโครกก็เปิดรอ

พอเราเดินออกไปฝาชักโครกก็ปิดเอง

นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนแล้วเข้าตอนกลางคืนนี่แอบหลอนแน่ๆ เพราะนึกว่าคงโดนเข้าแล้วชัวร์

ส่วนห้องอายน้ำแต่ละชั้นจะมี 3 ห้อง ห้องสุขา 2 ห้อง

แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่พอเพราะสามารถขึ้นไปใช้ชั้นอื่นต่อ มีลิฟต์เดินทางสะดวก

  

ส่วนห้องนอนเป็นห้องเล็กๆ น่ารักและนอนสบายมากค่ะ

โดยเขามีให้เลือกทั้งแบบไพรเวต แบบทวินเตียงสองชั้น

และแบบดอร์มคือนอน 4 คน เตียงสองชั้น 2 เตียง แต่ละห้องมีตู้เย็นและทีวี พร้อมตู้เก็บของให้

เราพักผ่อนทำธุระส่วนตัวกันสักพักก็เตรียมตัวเดินทางไปชมโตเกียวทาวเวอร์

ก่อนจะเดินทางไปชมฮานะขอเติมพลังด้วยข้าวหน้าเนื้อจานนี้ก่อนค่ะ

จากร้านโยชิโนยะที่ญี่ปุ่น ถามว่าแตกต่างกับโยชิโนยะบ้านเราไหม

แน่นอนว่าที่ญี่ปุ่นอร่อยกว่าและเยอะกว่าแถมถูกกว่า

แต่ฮานะว่าร้านนี้ก็ยังไม่ใช่ร้านข้าวหน้าเนื้อในดวงใจของฮานะ ที่เคยกินมาแล้วคิดว่าอร่อยแบบละลายในปาก

ต้องร้าน Nakau แถบคันไซ แถวนั้นอร่อยจริงจัง

ส่วนราคาขอบอกว่าข้าวหน้าเนื้อที่นี่เหมือนกับข้าวแกงบ้านเรา

หากินไม่ยาก เป็นฟาสต์ฟู้ดแบบญี่ปุ่น ราคาประมาณ 300 กว่าเยน หรือชามละประมาณ 90-150 บาทเท่านั้น

เมื่่อเติมพลังกันอิ่มแล้วก็ถึงเวลาเดินทางไปยังโตเกียวทาวเวอร์

ระหว่างที่เรากำลังเดินมา โตเกียวทาวเวอร์ก็ออกมาปรากฎกายทักทายอยู่ใกล้ๆ

ทำให้พวกเราสมาชิกทริปตื่นเต้นกันมากๆ

ถ้าใครเคยดูเรื่อง Always คุณจะจินตนาการได้ว่าในสมัยอดีต

ภาพชีวิตของคนญี่ปุ่นนั้นเป็นอย่างไร โตเกียวทาวเวอร์นั้นสร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ดังนั้นการเกิดขึ้นของโตเกียวทาวเวอร์ก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งความหวัง

และการก้าวข้ามความโหดร้าย และยากลำบากของประเทศญี่ปุ่นในสมัยนั้น

โตเกียวทาวเวอร์นั้นมีความสูง 333 เมตร

แบ่งเป็นชั้น Main Observatory ความสูงชั้นนี้ 150 เมตร ค่าขึ้นชั้นนี้ 820 เยน

ส่วนถ้าจะขึ้นชั้นถัดไปคือ Special Observatory สูง 250 เมตร ถ้าจะขึ้นชั้นนี้ก็เพิ่มเงินอีก 600 เยน

ก็จะได้มุมมองที่สูงกว่าจุดเดิม

 

ส่วนพนักงานที่โตเกียวทาวเวอร์นั้นแต่ละคนก็น่ารักมาก

หน้าตาแต่ละคนอย่างกับสมาชิกวง  AKB48

หนุ่มมาๆ มาที่นี่คงจะเพลิดเพลินกันแน่ๆ

วิวด้านบนของโตเกียวทาวเวอร์สวยเกินจะบรรยายเลยค่ะ

เราสามารถมองเห็นไกลไปถึงสะพานสายรุ้งที่โอไดบะเลยล่ะค่ะ

แค่ได้ยืนมองวิวอันงดงามของที่นี่ก็ทำให้เรารู้สึกอิ่มแล้วล่ะค่ะ

การเดินทางของเรายังไม่จบเท่านี้ 

ฮานะยังมีเรื่องราวมากมายมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังอีก รอติดตามกันตอนหน้านะคะ

ส่วนใครอยากร่วมเดินทางไปทริปญี่ปุ่นมันส์แบบนี้

 

 

 

ช่วงนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยคงกำลังดีใจกับข่าวดีที่ทางญี่ปุ่นประกาศยกเลิกวีซ่าสำหรับชาวไทย

ให้อยู่ได้ถึง 15 วัน โดยเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ดีใจ ของนักท่องเที่ยวชาวไทยกับข่าวดีเช่นนี้ 

ฮานะก็แอบไปร้องไห้ข้างตุ่มเบาๆ

เพราะดันไปทำวีซ่ามัลติเปิ้ลมาก่อนที่เขาจะประกาศออกมานิดเดียว

susu ฮือๆๆ เอาค่าวีซ่าของเค้าคืนมานะ

แม้ว่าจะประกาศยกเลิกแล้วก็ไม่ใช่ว่าเราจะเดินตัวปลิวเข้า ตม.ได้อย่างง่ายๆ นะคะ

เพราะตอนนี้อำนาจทั้งหมดอยู่ที่ ตม.แล้ว

ทางที่ดีเตรียมเอกสาร อย่างตั๋วเครื่องบิน ใบจองโรงแรม แผนการเดินทางเป็นภาษาญี่ปุ่น

เหล่านี้เอาไปด้วยนะคะ อ้ออย่าเอาโหลดใต้เครื่องล่ะ ให้พกติดตัวอยู่ตลอด

เพราะถ้าเขาเรียกถามมาเราจะได้แสดงให้เขาดูได้ว่าเราตั้งใจมาเที่ยวจริงๆ

ฮานะก็คาดหวังว่าข่าวดีนี้คงไม่มีชาวไทยบางกลุ่มที่หาช่องทางนี้ทำเรื่องเสื่อมเสีย

จนกระทบถึงนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เขาตั้งใจไปเที่ยวจริงๆ

เมื่อได้โอกาสแล้วก็รักษาเอาไว้ให้ดีๆ นะคะ

เพราะเขาให้โอกาสได้ เขาก็สามารถเอาโอกาสนั้นคืนไปได้

คุยเรื่องการยกเลิกวีซ่าญี่ปุ่นกันไปแล้ว

มาต่อกันที่การเดินทางทริปชิลแพ็คเกอร์อินโตเกียว ครั้งที่ 1
ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 24-28 พฤษภาคมที่ผ่านมา
โดยพาสมาชิกชิลไปสัมผัสประสบการณ์การเป็นแบ็คแพ็คเกอร์ที่ประเทศญี่ปุ่น

ใครที่ยังไม่อ่านตอนแรกเข้าไปอ่านได้ที่นี่เลย บันทึกการเดินทางทริปชิลแพ็คเกอร์อินโตเกียว ตอนที่ 1 ญี่ปุ่นและโตเกียวทาวเวอร์ที่คิดถึง

ส่วนใครที่อ่านแล้วก็มาเดินทางกันต่อได้เลยจ้า karok_eat

วันนี้วันที่ 2 ของการอยู่ญี่ปุ่นค่ะ

ตอนเช้าฮานะตั้งนาฬิกาไว้ตี 5 พอตื่นมา ก็พบว่าเฮ้ย นี่มัน 7 โมงแล้วหรือเปล่าทำไมมันสว่างเยี่ยงนี้ล่ะ

อ้อ ลืมไปนี่คือดินแดนของพระอาทิตย์นี่นา

ช่วงนี้โดยเฉพาะหน้าร้อนที่ญี่ปุ่นกลางวันยาวมากๆ พระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่ตี 5 ทำงานหนักทั้งวัน

กว่าคุณพระอาทิตย์จะลาไปนอนก็ประมาณ ทุ่มกว่าๆ เกือบ สองทุ่ม เลยมีเวลาเที่ยวกันยาวนาน

เรานัดกันตอน 7 โมงเช้าเพื่อเดินทางไปอาหารอร่อยทานที่ตลาดปลาซึกิจิ

จากที่พักเราเดินมายังสถานีรถไฟมินามิเซนจู แล้วนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีซึกิจิ

ก่อนจะเดินไปยังตลาดพวกเราก็พบสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของโตเกียว

เพราะที่นี่คือ Tsukuji Honganji ถ้ามองด้านนอกอาจจะคิดว่าที่นี่คือโบสถ์หรือสุเหร่า

แท้ที่จริงแล้วเป็นสถานที่สวดมนต์ของชาวพุทธ ภายในมีไปป์ออร์แกนเอาไว้บรรเลงเพลงสวดมนต์

มีที่นั่งสวดมนต์คล้ายกับโบสถ์ของศาสนาคริสต์เลย

ที่นี่อายุอานามก็ประมาณ 390 ปี แต่เดิมแล้วตั้งอยู่ในวันเซ็นโซจิ

แต่เกิดไฟไหม้และแผ่นดินไหวก็เลยย้ายมาตั้งที่นี่ตั้งแต่ปี 1934

หน้าตาสถาปัตยกรรมอาจจะดูเหมือนลูกครึ่งเพราะที่นี่เขาเป็นการผสมผสานระหว่าง

สไตล์อินเดียกับสไตล์ตะวันตก ใครที่ไปตลาดซึกิจิลองแวะเข้าไปดูกันนะคะ

จากนั้นเดินไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงตลาดซึกิจิ

ซึ่งที่นี่เรียกว่าป็นครัวของกรุงโตเกียว

และเป็นตลาดขายส่งอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

วันนี้เราไม่ได้เข้าไปดูในส่วน Wholesale แต่ก็ได้เดินเล่นรอบตลาดด้านนอก

ได้ทานปลาอร่อยๆ จากตลาดแห่งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วล่ะค่ะ

ของสดที่นี่น่าซื้อมาก ถ้าเทียบกับราคาของไทยก็ถือว่าถูกมากๆ ค่ะ

เพราะบ้านเรากว่าจะนำเข้ามาต้องผ่านการขนส่งต่างๆ ความสดก็ไม่เท่ามาทานที่นี่

เห็นแล้วฮานะอยากซื้อกลับเมืองไทยมาก แต่เพราะต้องอยู่อีกนานเลยมาทานร้านอร่อยของที่นี่ดีกว่า

ร้านอาหารขึ้นชื่อในตลาดปลาซึกิจิมีมากมาย โดยเฉพาะร้านซูชิ และร้านด้ง(ข้าวหน้าต่างๆ)

ราคาก็แตกต่างกันไปตามชื่อเสียงของร้าน

แต่ฮานะว่าถ้าไม่ติดว่าจะต้องมีทานร้านขึ้นชื่อ ฮานะว่าคุณสามารถเดินเข้าร้านไหนก็ได้

เพราะอร่อยเกือบทุกร้าน มาที่นี่สิ่งที่ฮานะไม่พลาดมาทานคือเมนูด้ง หรือข้าวหน้าต่างๆ

คราวนี้เลยขอจัดเมนูกลางๆ ไม่แพงและไม่ถูก จานนี้ 1200 เยนค่ะ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 300 กว่าบาท

เป็นเมนูที่ชื่อว่าเลดี้ส์ เซ็ตเพราะเขามีซุปสาหร่าย มีโยเกิร์ตผลไม้ให้ด้วย

อิ่มและอร่อยสมที่รอคอย เนื้อปลา เนื้อกุ้ง สดแทบจะละลายในปาก

ข้าวของเขาก็นุ่มอร่อยสุดๆ ไม่มีที่ติเลยค่ะ

ทานอาหารกันเสร็จก็เตรียมเดินทางไปยังวัดเซ็นโซจิกันต่อ

จากซึกิจินั่งรถไฟใต้ดินใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเราก็ถึงสถานีอาซากุสะ

ที่ตั้งของวัดเซ็นโซจิ หรือที่เรารู้จักว่าวัดอาซากุสะ

วัดนี้ใครไม่ได้มาถ่ายหน้าโคมไฟสีแดงอันใหญ่ถือว่ามาไม่ถึงกรุงโตเกียว

วัดแห่งนี้มีประวัติยาววนานถึง 1300 กว่าปี

เริ่มจากมีพี่น้องคู่หนึ่ง หาปลาในแม่น้ำสุมิดะ แล้วบังเอิญเหวี่ยงแหไปเจอพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมทองคำขึ้นมา

จึงนำมาให้หัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านได้เปลี่ยนบ้านของตัวเองเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์

มีประชาชนมาสักการะบูชา และต่างก็ร่ำลือในความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่กวนอิม

รู้ไปจนถึงโชกุน ท่านก็เลยมาทำอาคารหลังใหญ่และต่อเติมจนมาถึงปัจจุบัน

โดยประตูสุดฮิตที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมาถ่ายรูปกำลังแบกโคมไฟอันใหญ่สีแดงนี้ก็คือ

ประตูคามินาริ (Kaminari-mon) หรือ “ประตูอสุนี”

ใต้โคมไฟฮานะลองไปส่องดูก็พบกับไม้แกะสลักเป็นรูปมังกรสวยงามมาก

ส่วนข้างประตูสองข้างมีหุ่นเทพเจ้าแห่งสายฟ้า และเทพเจ้าแห่งสายลมเฝ้าประตูอยู่

ออกจากวัดเซ็นโซจิก็ถึงเวลาของขาช้อปกันแล้ว

แหล่งช้อปที่เราไปละลายเงินเยนในครั้งนี้คือตลาดอาเมะโยโกะ

ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีอูเอโนะ

ตลาดแห่งนี้มีขายทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง สาวๆ ในทริปของเราเห็นร้านขายยาไม่ได้ต้องวิ่งเข้าใส่

เพราะร้านขายยาที่นี่เขามีเครื่องสำอางเยอะมาก

และราคาถูกกว่าเมืองไทยเยอะเลยค่ะ

นอกจากนี้ตลาดแห่งนี้ยังมีของสด มีร้านอาหารอร่อยมากมาย

ยิ่งตอนเย็นบริเวณนี้ก็จะเต็มไปด้วยร้านกินดื่มของพนักงานออฟฟิศในยามเย็นมานั่งสังสรรค์กัน

จากตลาดอาเมะโยโกะเราเดินไปยังตึกม่วงหรือตึกทาเคยะ

วิธีไปก็ง่ายมากออกจากตลาดโอเมะโยโกะแล้วเดินมาทางซ้ายจะเจอสี่แยกไฟแดงมีตึกสีม่วงตั้งโดดเด่นอยู่

ตึกนี้แล่ะค่ะเป็นตึกที่ทำให้นักช้อปชาวไทยอย่างเราสติแตก

กับการช้อป ทั้ง ขนม ของ ฝาก อย่างคิทแคทชาเขียวที่ราคาถูกมาก หนึงถุงราคาประมาณ 250 เยน(ที่อื่นขาย 500 เยน)

หรือถั่วพิซซาชิโอรสวาซาบิที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยมาก

เราไม่ได้หยิบนะคะ แต่กวาดกันเลยล่ะค่ะ ฮานะเองก็เหมือนถูกอะไรสักอย่างสิง ช้อปจนกระเป๋าฉีกกันเลย

นอกจากนี้เขายังมีตึกอีกหลายตึก แบ่งเป็นเสื้อผ้าสตรี เสื้อผ้าบุรุษ น้ำหอม เครื่องสำอางต่างๆ

ที่พาพวกเราสติแตกอีกแล้ว

เพราะน้ำหอมที่บ้านเราขายขวดละพันกว่าบาท แต่บ้านเขาลดเหลือหกร้อยกว่าบาท โอ้ มาย ก้อด

ฮานะนี่สติแตกก่อนผู้ร่วมเดินทางอีกค่ะ

จากตึกม่วงเราจะเดินทางไปเที่ยวต่อที่ย่านขนมสุดน่ารักที่จิยูกาโอคะ

  

ที่นี่เป็นย่านน่ารักมีร้านขายของแฮมด์เมดเก๋ๆ มากมาย

สาวๆ ในทริปพอมาเจอย่านนี้ก็ต้องแชะภาพเก็บเอาไว้

เพราะน่ารักทุกที่ น่ารักทุกร้าน เดินเพลินมากค่ะไม่มีเบื่อเลย

 

ไฮไลต์ของจิยูกาโอคะคือการมาทานขอนหวานที่ Sweet Forrest

ซึ่งภายในเขาจัดไว้น่ารักมากเหมือนป่าแห่งร้านขนมหวาน

มีร้านขนมน่ารักประมาณ 10 กว่าร้าน

อยากทานร้านไหนเดินไปสั่งแล้วก็เลือกที่นั่งนั่งทานได้ตามชอบใจ

ฮานะเลือกเครปจานนี้ อร่อยมากๆ ราคาก็ไมแพงด้วยค่ะประมาณ 200 กว่าบาทเท่านั้น

จากจิยูกาโอคะเราจะไปสัมผัสแหล่งวัยรุ่นกันที่ฮาราจูกุ

 

โดยนั่งรถไฟเจอาร์จากสถานีจิยูกาโอคะมาที่สถานีฮาราจูกุ

ออกมาจากสถานีเดินข้ามถนนมาก็เจอกับถนนทาเคชิตะ

ย่านสุดฮิปของวัยรุ่น บนถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นแบบญี่ปุ่น

ว่ากันว่าที่นี่คือต้นแบบของสยามบ้านเรา แต่ของเขาหลากหลาย แฟชั่นจี๊ดกว่า

บางทีก็เจอสาวๆ หนุ่มๆ แต่งคอสเพลย์เดินกันเป็นเรื่องปกติของที่นี่

แต่ก่อนคนไทยที่ไม่เคยเห็นถือว่าเป็นเรื่องอันซีน แต่ตอนนี้ฮานะว่าก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ส่วนใครอยากอัพเดตเทรนด์แฟชั่นของวัยรุ่นโตเกียว อยากมาทานเคร้ปร้านหัวมุมที่ขึ้นชื่อมากๆ

ก็ไม่เควรพลาดถนนเส้นนี้

ปิดท้ายทริปนี้กับการช้อปปิดท้ายที่ถนนโอโมตเตะซังโด

ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับฮาราจูกุ ที่นี่จะเป็นที่ตั้งของแบรนด์เนมมากมาย

และยังเป็นสถานที่โชว์ของของสถาปนิกในการออกแบบตึกแบรนด์เหล่านี้

อย่าตึกดิออร์ ตึกหลุยส์ วิคตอง

หรือตึก Tokyu Plaza ที่ออกแบบโดย  Hiroshi Nakamura ดีไซน์ได้สุดล้ำเหมือนอยู่ในปริซึมที่มีเหลี่ยมมากมาย

สะท้อนภาพของโครสร้างอาคาร บันไดเลื่อน ผู้คนที่เดินไปบนถนนแห่งนี้ในหลายมุม

วันนี้เป็นวันแห่งการช้อป และช้อปจริงๆ ค่ะ

ส่วนวันต่อไปเราจะพาสมาชิกเดินทางสู่นิกโก้ ที่มีคำขวัญว่า Nikko is Nippon

หรือนิกโก้คือญี่ปุ่น รอติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่นี่เลยค่ะ

 

มาถึงวันที่ 3 กันแล้วนะคะ กับชิลแบ็คแพ็คเกอร์อินโตเกียว ครั้งที่ 1

ซึ่งเดินทางกันไปแล้วเมื่อวันที่ 24-28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

ฮานะเลยขอมาเล่าเรื่องราวการเดินทางต่อจาก 2 วันแรกที่เราพาไปตะลุยย่านต่างๆ ในโตเกียวมา

คราวนี้ขอพานั่งรถไฟไกลๆ ออกไปเที่ยวดูความงดงามของป่าไม้ 

และความงดงามของศิลปะญี่ปุ่นบ้างที่นิกโก้

ซึ่งว่ากันว่า Nikko is Nippon (นิกโก้คือญี่ปุ่น)

karok_eat

เราตื่นกันแต่เช้า วันนี้ฮานะบอกให้สมาชิกทุกคนตุนเสบียงอาหารขึ้นไปกินบนรถไฟกันเพราะวันนี้เราต้องนั่งรถไฟนาน

จากสถานีรถไฟเจอาร์มินามิเซนจูเราใช้บัตรเบ่งเล็ก หรือบัตร JR Kanto Area Pass

ที่สามารถใช้เดินทางภายในภูมิภาคคันโต จะขึ้นลงกี่ครั้งก็ได้ภายใน 3 วัน ราคาเพียง 8000 เยน

และยังสามารถนั่งรถไฟชินกันเซ็นได้อีก เรียกว่าคุ้มมากๆ

เรานั่งรถไฟเจอาร์จากมินามิเซนจูไปยังสถานีอูเอโนะ จากนั้นนั่งรถไฟชินกันเซ็นยามาบิโกะไปยังสถานีอุทสึโนมิยะ

แล้วต่อรถไฟสายนิกโก้ไลน์ไปยังนิกโก้

รถไฟของญี่ปุ่นขอบอกว่าเขาตรงเวลามาก หนึ่งนาทีก็คือหนึ่งนาที ไม่เลทไม่ช้า

ยิ่งรถไฟชินกันเซ็นก็นิ่มมาก เบาะที่นั่งกว้างกว่าเครื่องบินที่ฮานะนั่งมาจากไทยอีก

เรานั่งรถไฟชมวิวทิวทัศน์ข้างทางที่ค่อยเปลี่ยนจากเมือง จากตึกสูงที่อัดแน่นกัน เป็นบ้านคนหลังย่อมเยา

และเปลี่ยนเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ สะพานรถไฟที่วิ่งข้ามลำธาร

ฮานะว่าเส้นรถไฟที่วิ่งไปนิกโก้เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่มีวิวทิวทัศน์สวยมากๆ

นั่งชมวิว ทานข้าวปั้นที่ซื้อมาจากร้านแฟมิลี่มาร์ท และน้ำผลไม้ของญี่ปุ่นแค่นี้ก็ฟินแล้วค่ะ

เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงสถานีเจอาร์นิกโก้ จากนั้นเราซื้อตั๋วรถบัสวันเดย์พาสราคา 500 เยน

เพื่อนั่งรถบัสไปชมสถานที่ที่เป็นมรดกโลก

ศาลาซันบุตซึวัดรินโนจิก่อนปรับปรุง(ภาพจาก Japan-guide.com)

ศาลาซันบุตซึวัดรินโนจิระหว่างปรับปรุง(ภาพจาก Japan-guide.com)

โดยเริ่มจากที่แรกคือวัดรินโนจิ ซึ่งจากที่นี่เราสามารถซื้อตั๋วรวมชมมรดกโลกทั้งหมดประมาณ 4 ที่เพียง 1000 เยนเท่านั้น

วัดรินโนจินี้เป็นวัดพุทธที่สำคัญมากที่สุดในนิกโก้ สร้างเมื่อปี ค.ศ.766  หรือประมาณ 1247 ปีมาแล้ว

ภายในวัดประกอบด้วยศาลาที่สำคัญ 2 ศาลาคือ ศาลาหลังใหญ่ซันบุตซึ และ ศาลาไดโกมะ

ซึ่งภายในศาลาซันบุตสึนั้นเป็นที่ประดิษฐานของพระอมิตพุทธ เจ้าแม่กวนอิมพันกร และพระพุทธรูปม้าอยู่กลางพระนลาต

ตอนที่ไปศาลาหลังใหญ่ซันบุตซึนั้นเขากำลังปรับปรุงตัวอาคารอยู่ซึ่งเริ่มปรับปรุงตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2011

และจะแล้วเสร็จเดือนมีนาคม 2021 ด้านนอกเขาเลยทำเป็นตัวอาคารครอบศาลาหลังใหญ่อีกที

ฮานะเห็นครั้งแรกก็ตกใจเหมือนกันค่ะ เพราะเขาปรับปรุงกันจริงจังและรัดกุมมาก

ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยค่ะเวลาเราไปญี่ปุ่นเราจะเห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับสถานที่เก่าแก่เหล่านี้

หรือแม้แต่ต้นไม้ฮานะเคยเห็นเขาเอาผ้ามาห่อต้นไม้กันเลยเพื่อรักษาไม่ให้ต้นไม้ตายเวลาเปลี่ยนผ่านฤดูกาล

จากวัดรินโนจิเราเดินกันไปต่อสู่ศาลเจ้าโทโชกุ

ฮานะชอบต้นไม้ของที่นี่นี่มาก เพราะเคยเห็นภาพนิกโก้เมื่อหลายร้อยปีก่อน

พอมาดูตอนนี้สภาพก็ไม่ต่างจากเดิมเลย ต้นไม้ที่เคยอยู่ตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังอยู่

รู้สึกถึงวิญญาณอันสงบเงียบของป่าไม้ ของต้นไม้ ที่ปกป้องสถานที่ศักสิทธิ์เหล่านี้มาโดยตลอด

ซึ่งศาลเจ้าโทโชกุนั้นก็เป็นศาลเจ้าที่มีความสำคัญต่อนิกโก้และต่อญี่ปุ่นมาก

เพราะเป็นสุสานของโชกุน โตกุกาว่า อิเอยาสุ ซึ่งเป็นโชกุนที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากๆ

รวมถึงที่นี่ยังมีการอัญเชิญดวงวิญญาณอีกสองดวงคือโตโยโตมิ ฮิเดโยชิ ไดเมียวคนสำคัญ

และมินาโมโตะ โยริโตโมะ ผู้ที่จัดตั้งรัฐบาลทหาร มาสถิตย์ ณ ที่แห่งนี้ด้วย

ศาลเจ้าโทโชกุนี้เขามีชื่อเรื่องภาพแกะสลักลิงซึ่งเป็นปริศานาธรรม

ที่คนญี่ปุ่นเขากำลังมุงถ่ายรูปกันอยู่นี่แล่ะ

เป็นภาพลิงปิดตา ปิดหู ปิดปาก  คือไม่พูด ไม่มอง ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ดี

   

นอกจากนี้ยังมีภาพแกะสลักลิงที่เป็นปริศนาธรรมอีก 4 ภาพ ซึ่งแต่ละภาพมีให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตทั้งสิ้น

จากนั้นเราเดินต่อไปยังประตูโยเมมง

ซุ้มประตูโยเมมงที่ว่ากันว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมากๆ

ภายในประกอบด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม

พอเดินเข้าไปด้านในก็จะเจอประตูอีกชั้นหนึ่งที่ชื่อว่าคารามง

ซึ่งภายในมีอาคารหลักที่เอาไว้ประกอบพิธีกรรมและไม่ได้อนุญาตให้เราเข้าไป

แต่แค่เดินชมอยู่ด้านนอกก็สัมผัสได้ถึงความสวยงามและยิ่งใหญ่ของศิลปะที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาเป็นพันปี

ด้านในศาลเจ้ายังมีทางเดินไปยังสุสานโชกุนแต่คราวนี้ฮานะไม่ได้เข้าไปสักการะ

และด้านในยังมีรูปแกะสลักแมวหลับซึ่งโด่งดังอีกด้วย คราวหน้าไม่พลาดแน่ๆ

จากศาลเจ้าโทโชกุเราเดินต่อไปยังศาลเจ้าฟูตาราซัง

ทางเข้าสู่ศาลเจ้า

นิ่งสงบภายใต้สนพันปี

ตามหลักชินโตการจะเข้าศาลเจ้าก็จะต้องมาทำความสะอาดร่างกายกันก่อน

โดยมีผู้สาธิตเป็นผู้ร่วมทริปของเราคือน้องแก้วและคุณเน

โดยเริ่มจากหยิบกระบวยตักน้ำด้วยมือขวาแล้วล้างมือซ้าย จากนั้นเปลี่ยนเป็นถือกระบวยด้วยมือซ้ายแล้วตักน้ำล้างมือขวา

สุดท้ายตักน้ำเทใส่อุ้งมือเพื่อใช้บ้วนปากเป็นอันจบพิธี

แต่ก่อนที่ฮานะไปญี่ปุ่นใหม่ๆ เอ๋อมากๆ ไม่ได้เรียนรู้อะไรไปเลย เห็นกระบวยนึกว่าเอาไว้กิน

ก็กินไปหลายอึก (ซึ่งมันเย็นชื่นใจอร่อยมากๆเหมือนกัน) แต่ในความเป็นจริงไม่ควรทำนะจ๊ะ

ลองเอาภาพมาทำเป็นสีทึมๆ ดู ก็สวยและมีเสน่ห์ไปอีกแบบ

แค่มานั่งเงียบๆ ใต้ร่วมเงาของต้นไม้ ฟังเสียงสายลม และธรรมชาติรอบตัว

เราก็จะสัมผัสได้ถึงเสียงภายในหัวใจ ซึ่งเราอาจจะไม่เคยฟังมันเลย

ที่สุดท้ายของทริปนิกโก้คือไทยูอินเบียวซึ่งเป็นสุสานของโชกุนโตกุกาว่า อิเอมิตสึ

หลานของโตกุกาว่า อิเอยาสุ

ทางเข้าสุสานยังแอบมีใบไม้แดงหนึ่งต้นให้เราได้ถ่ายภาพสวยๆ กัน

ฮานะชอบบรรยากาศของที่นี่มากสมแล้วที่ได้ชื่อว่า Nikko is Nippon

สุสานตั้งอยู่บนเขาเราจึงต้องเดินขึ้นไปเรียกเหงื่อได้นิดนึง

แต่พอขึ้นไปถึงก็หายเหนื่อยเลยค่ะ

เพราะความสวยงามของศิลปะบนซุ้มประตูทางเข้านั้นสวยงามมาก

พอเดินเข้ามาก็จะพบทางเข้าสู่ตัวอาคารหลักเป็นสีทองเหลืองอร่ามท่ามกลางต้นไม้สีเขียว

จิตวิญญาณแห่งป่าและจิตวัญญาณของบรรพชนที่สถิตรวมกัน

ปกปักษ์ดินแแดนแห่งพระอาทิตย์มานานแสนนาน

ฮานะเชื่อว่าแม้ในอนาคตญี่ปุ่นจะพบเจอเรื่องราวภัยพิบัติมากมาย

แต่ความเป็นญี่ปุ่นนั้นก็ไม่มีวันเสื่อมสลาย

​จากศาลเจ้าฟูระตะซังเราเดินลงเนินมาพักทานข้าวและซื้อของฝากด้านล่าง

ซึ่งมีร้านอาหารมากมายให้ได้เลือกทาน

ส่วนฮานะขอพักดื่มชาทานขนมที่คาเฟ่น่ารักร้านนี้ละกันค่ะ

คาเฟ่น่ารักราคาไม่แพง แถมชีสเค้กยังเนื้อแน่น อร่อยอีกด้วย

จากนิกโก้เรานั่งรถไฟกลับมายังโตเกียว

แล้วจับรถไฟไปต่อยังเมืองโยโกฮาม่า

ประมาณ 45 นาทีจากโตเกียวเราก็มาถึงโยโกฮาม่า

โดยคราวนี้เราจะมาทานอาหารเย็นที่ชิน โยโกฮาม่า ราเมงมิวเซียม โดยนั่งรถไฟมาลงสถานีชินโยโกฮาม่า

แล้วเดินมาแป๊บนึงก็ถึงราเมงมิวเซียม ค่าเข้าคนละ 300 เยน

และยังมีคู่มือเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เป็นภาษาไทยอีกด้วย (แต่เป็นภาษาไทยแบบใช้อากู๋แปลนะconfuse)

พอเข้ามาด้านในก็เหมือนย้อนไปในสมัยอดีตเลยล่ะค่ะ

ใครที่เคยดูหนังเรื่อง Always Sunset on the third street

คงจะจำบรรยากาศสุดคลาสสิคในหนังได้ เพราะที่นี่บรรยากาศน่าจะอยู่ยุคเดียวกับในหนังเลย

ตัวมิวเซียมไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก

แต่เขาให้ความสำคัญในรายละเอียดดีมากค่ะ

ภายในมีร้านราเมนประมาณ 9 ร้าน ซึ่งเขาเลือกร้านขึ้นชื่อของญี่ปุ่นตั้งแต่ฮอกไกโดยันคิวชูกันเลยล่ะค่ะ

และที่นี่เขามีทั้งไซส์เล็ก ไซส์ใหญ่ ใครที่อยากชิมให้ครบทุกร้านก็เลือกเป็นไซส์เล็กไปนะคะ

ส่วนร้านที่ฮานะเลือกชิมคือร้านนี้ค่ะ ไซตามะ คาวาโกะ ทสึเคเมง

ทสึเคเมง หรือราเมงแบบจุ่ม

จริงๆ แล้วเส้นเยอะกว่านี้แต่เพราะความหิวเลยรีบทานมารู้ตัวอีกที อ้าว!!! ลืมถ่ายรูป

ความอร่อยขอบอกว่าอร่อยที่สุดที่เคยกินทสึเคเมงมา

ฮานะเคยไปกินทสึเคเมงในไทยก็ยังไม่ได้รสชาตินี้ บางร้านมันไปบ้าง เค็มไปบ้าง

แต่ของร้านนี้ไม่มีที่ติเลยค่ะ เส้นก็นุ่ม น้ำซุปไม่มันเกินไป ไม่เลี่ยน ตัวหมูก็เคี่ยวเปื่อยจนกลายเป็นเหมือนเนื้อทูน่าไปแล้ว

กลับมายังฝันถึงทสึเคเมงของร้านนี้อยู่เลยล่ะค่ะ

ตอนแรกกะว่าจะไปชิมของร้านอื่นต่อแต่เพราะสั่งแบบไซส์ใหญ่ เลยอิ่มจนจุก

เวลาที่เหลือเลยเดินเล่นชมมิวเซียมของที่นี่สักหน่อย

ฟ้าข้างบนที่เห็นนี่ฟ้าปลอมนะคะ แต่พอถ่ายรูปออกมาเหมือนจริงมากๆ

นึกภาพตัวละครใน Always ที่กำลังตื่นเต้นกับโทรทัศน์เครื่องใหม่

จากความคลาสสิคที่เคยดูในหนังตอนนี้ก็มาอยู่ตรงหน้าจริงๆ

อารมณ์ประมานเพลินวานบ้านเราเลยล่ะค่ะ

อยากเข้าร้านไหนเลือกได้เลย

ตู้โทรศัพท์ที่เหมือนนั่งไทม์แมชชีนไปในอดีต

ปลายสายอาจจะมีคนรอเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง

แม้รู้ว่าจะเป็นอดีตที่เฟคขึ้นมา แต่เราก็ยังมีความสุขที่เดินย้อนไปในอดีตนั้น

ออกจากชินโยโกฮาม่า ราเมงมิวเซียม ฟ้าก็มืดเสียแล้ว คราวนี้เราเลยขอไปนั่งชิลที่แลนด์มาร์คของเมืองโยโกฮาม่ากันต่อ

กับที่นี่ Minato Mirai ที่สามารถมองเห็นตึกแลนด์มาร์คทาวเวอร์ ตึกควีนส์ทาวเวอร์ และชิงช้าสวรรค์ที่คอสโม่เวิล์ด

แค่ได้นั่งชิลจิบสาเกหรือเบียร์เย็นๆ พูดคุยกับเพื่อนร่วมทริป

เก็บเกี่ยวความสวยงามของภาพตรงหน้าและการเดินทางครั้งนี้เอาไว้

ก็เป็นความสำเร็จที่เราจัดทริปนี้ขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ 

คราวหน้าเราจะพาคุณไปตามหาคุณฟูจิซัง ณ ชิรากาว่าโก

จะยิ่งใหญ่และงดงามแค่ไหนรอติดตามกันได้เลย

 

 

เรื่องโดย นางสาวฮานะ

ภาพโดย Clubbank, Pla Pla 

Share Button
Categories: ทริป